รีไฟแนนซ์รถ รถแลกเงิน ช่วงโควิด-19 มีโอกาสผ่านหรือไม่
รถแลกเงิน
ธนาคารไหน วงเงินสูงสุด ดอกเบี้ยถูกสุด หาได้ที่นี่
รถแลกเงิน

รีไฟแนนซ์รถ รถแลกเงิน ช่วงโควิด-19 มีโอกาสผ่านหรือไม่

ในสถานการณ์ปกติหากเรามีเหตุต้องใช้เงินด่วนๆ เงินไว การขอ สินเชื่อรีไฟแนนซ์รถ หรือ รถแลกเงิน นั้นก็อาจปกติ แต่ในตอนนี้สภาพเศรษฐกิจในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กำลังเข้าขั้นวิกฤต แม้จะมีผ่อนคลายลงบ้าง แต่เหมือนเกณฑ์ในการพิจารณาของสถาบันการเงินต่าง ๆ จะเข้มขึ้น ทำให้หลาย ๆ คนที่ต้องการจะขอสินเชื่อรถ เริ่มกังวลว่าจะสามารถขอกู้เงินได้เหมือนเดิมหรือเปล่า

หลายท่านรับผลกระทบต่อรายได้ลดลง ธนาคารจะพิจารณาปล่อยสินเชื่อไหม หรือวงเงินในการปล่อยสินเชื่อรถยนต์จะได้สูงหรือเปล่า ต้องใช้เอกสารอะไรเพิ่มเติมไหม ระยะเวลาในการอนุมัตินานขึ้นหรือเปล่า วันนี้ Refinn เลยจะเอาข้อมูลมาแชร์ให้ฟังกันครับ

สถานการณ์โควิด-19 สามารถขอสินเชื่อรถยนต์ได้หรือไม่?

ผมกล้าตอบได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า เราสามารถขอสินเชื่อรถยนต์ได้ ทั้งรีไฟแนนซ์รถและรถแลกเงินครับ แต่อาจจะมีแนวทางในการดำเนินการที่แตกต่างจากสถานการณ์ปกติ ซึ่งหลัก ๆ จะมีอยู่ 2 เรื่อง คือ

1.ขั้นตอนในการขอสินเชื่อ

ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ขั้นตอนและกระบวนการ ในการขอยื่นสินเชื่อมีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์ เพราะทางธนาคารจะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้มากที่สุด  ซึ่งทางธนาคารจะส่งพนักงานมาดำเนินการในการตรวจสภาพรถและเก็บเอกสารให้ผู้ขอสินเชื่อเอง ทำให้เราไม่ต้องไปสาขาแล้ว ส่งผลให้เกิดความสะดวกสบายและเกิดความปลอดภัยต่อผู้ขอสินเชื่อเพิ่มมากขึ้นครับ 

2.นโยบายจากทางธนาคาร

นอกจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านขั้นตอนแล้ว ที่เห็นได้ชัดเลยคือทางธนาคารก็จะมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการเข้มงวดในการตรวจเช็คข้อมูลเอกสาร และเครดิตของผู้ยื่นกู้มากยิ่งขึ้นเพราะในสถานการณ์เศรษฐกิจแบบนี้ ทางธนาคารก็ต้องการความมั่นใจจากตัวผู้ที่ขอสินเชื่อว่าสามารถจะผ่อนชำระไหว และมีเครดิตที่ดี ไม่มีการค้างค่าชำระ หรือมีประวัติเสียนั้นเองครับ  

เพราะการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ทำให้ทางธนาคารที่ให้สินเชื่อต้องเข้มงวดมากขึ้น ทั้งการตรวจเช็คเอกสารและเครดิตผู้ยื่นขอสินเชื่อ รวมไปถึงการให้วงเงินด้วย ในบางธนาคารจากที่ให้วงเงินได้สูงมากถึง 150% ก็ปรับลดลงมาเหลือเพียง 100% -120% เท่านั้น

อ่านมาถึงตรงนี้เราคงได้รู้แล้วว่าทางธนาคารมีการปรับเปลี่ยนอะไรบ้าง และอีกสิ่งที่เราต้องรู้ก่อนขอสินเชื่อเลย คือสาเหตุที่กู้ไม่ผ่าน มีสาเหตุอะไรบ้างที่ทำให้เราขอสินเชื่อไม่ผ่าน วันนี้เราจะแยกสาเหตุแต่ละข้อ เพื่อให้เราได้เตรียมความพร้อมเพื่อที่จะได้ผ่านการอนุมัติง่ายมากยิ่งขึ้นครับ

สาเหตุอะไรบ้างที่ขอสินเชื่อรถไม่ผ่าน

ซึ่งเราควรรู้ถึงสาเหตุหลัก ๆ ของปัญหาก่อนว่าทำไมถึงไม่ผ่านการอนุมัติจากทางธนาคาร และทางธนาคารมีเงื่อนไขในการพิจารณาการอนุมัติอย่างไร เพื่อที่เราจะได้เตรียมตัวและเพิ่มโอกาสในขอกู้ของเราให้มีสิทธิ์ผ่านมากขึ้นครับ

1.ประวัติทางการเงินของผู้ขอสินเชื่อ

การยื่นกู้ธนาคารหรือสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ให้เรา บางธนาคารจะต้องทำการตรวจสอบและตรวจเช็คเครดิตของเราให้มั่นใจว่าจะสามารถผ่อนชำระได้ โดยหากที่ไหนตรวจประวัติผู้ที่ยื่นขอสินเชื่อจะต้องไม่มีประวัติที่ไม่ดีทางการเงินครับ เช่น



  • การค้างค่าชำระ 

หากยังค้างชำระไม่ถึง 3 เดือน ก็จะมีประวัติที่แสดงอยู่แต่ยังไม่ถึงกับติดเครดิตบูโร ซึ่งประวัติค้างชำระก็มีผลต่อการอนุมัติสินเชื่อ ถ้าหากคุณจะทำเรื่องกู้ใหม่คุณต้องไปเคลียร์ยอดค้างชำระให้เรียบร้อย แล้วธนาคารก็จะดูประวัติการผ่อนชำระของคุณ อีกประมาณ 1-2 ปี (ขึ้นอยู่กับเกณฑ์การพิจารณาของแต่ละธนาคาร) หากช่วงเวลา 1-2 ปีนี้ คุณกลับมาผ่อนชำระเป็นปกติ ก็จะสามารถกลับมาทำเรื่องกู้ใหม่ได้ 

  • ติดเครดิตบูโร

จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการค้างค่าชำระเกิน 90 วันครับ หากเราจะขอสินเชื่อใหม่ต้องเคลียร์ยอดผ่อนชำระให้เรียบร้อย และต้องผ่อนชำระตามปกติให้ครบ 3 ปีก่อนครับ เราจึงจะสามารถขอสินเชื่อที่ใหม่ได้ครับ ซึ่งการติดเครดิตบูโรจะมีอายุ 3 ปี ถึงจะหายจากประวัติของเรา โดยเริ่มนับตั้งแต่ตอนที่เราจ่ายค่าค้างชำระครบทั้งหมดครับ นั้นหมายความว่า 3 ปี โอกาสที่เราจะขอสินเชือผ่านแทบจะเป็นศูนย์เลยครับ

ซึ่งถ้าเราเป็นคนที่มีประวัติไม่ดีทางการเงิน เราแนะนำให้สมัครขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินในระบบที่ไม่เช็คประวัติเครดิตครับ แต่ถ้าเป็นธนาคารทั่วไปแทบจะทุก ๆ ธนาคารจะมีการเช็คประวัติเครดิต ซึ่งอาจจะทำให้ขอสินเชื่อมีโอกาสไม่ผ่านสูงครับ

2. รายได้ต่อเดือนขอผู้ขอสินเชื่อ

ด้วยสถานการณ์โควิด-19 คงจะทำให้รายได้ของใครหลาย ๆ คนลดลง ทำให้กังวลว่าจะขอสินเชื่อไม่ผ่าน แต่ถ้าหากเรามีหนี้ทั้งหมดไม่เกิน 70% ของรายได้ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในการกู้สูงขึ้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับธนาคารที่ขอสินเชื่อด้วยครับว่ามีเงื่อนไขอย่างไรด้วยครับ 

แล้วหนี้เราเกิน 70% หรือไม่ ดูยังไง วันนี้เราก็มีวิธีการคิดภาระหนี้ทั้งหมดมาให้ทุกคนได้ลองคำนวณกันครับว่าหนี้มีเกิน 70% หรือไม่ ?

คำนวณภาระหนี้ต่อเดือน

วิธีคิดคือ การนำ ภาระหนี้ต่อเดือน ÷ รายได้ต่อเดือน x 100(เพื่อหา%) = %หนี้
ยกตัวอย่างคือ (มีภาระหนี้ต่อเดือนทั้งหมด 21,000 ÷ รายได้ต่อเดือน 30,000) x 100 =70% 

ซึ่งหลังจากนี้เราจะมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับรายได้ต่อเดือนในการขอสินเชื่อ ว่ารายได้ที่ลดลงนี้จะสามารถขอกู้ได้ไหมนั้น เราก็จะแบ่งออกเป็น 2 ตัวอย่าง ดังนี้

2.1 หากรายได้ลดลงแต่ภาระหนี้หนี้ยังไม่เกิน 70% ของรายได้ = กู้ได้

คำนวณภาระหนี้ต่อเดือน รีไฟแนนซ์รถ รถแลกเงิน

ยกตัวอย่าง คือ รายได้ต่อเดือนปกติอยู่ที่ 50,000 บาท ปรับลดเหลือ 40,000 บาท มีภาระหนี้ที่ต้องจ่ายต่อเดือนอยู่ที่ 20,000  เมื่อคำนวณแล้วภาระหนี้มี 50% ซึ่งยังไม่เกิน 70% ของรายได้ทั้งหมด ดังนั้นขอกู้แล้วมีโอกาสผ่านสูงครับ

สรุปแล้วคือ รายได้ลดลงกู้ได้ครับ เพราะสุดท้ายแล้วมันขึ้นอยู่กับยอดหนี้หากไม่เกิน 70% ของรายได้ก็มีโอกาสกู้ผ่าน ถ้ามียอดหนี้สูงอยู่แล้วก็กู้ไม่ได้ ถ้าไม่มีหนี้หรือมีแต่ไม่เกินที่ธนาคารกำหนดก็ขอกู้ได้ครับ ซึ่งถ้ารายได้ลดลง ความสามารถในการผ่อนชำระก็จะลดตามรายได้ไปด้วยครับ

2.2 หากรายได้ลดลงจนภาระหนี้เกิน 70% ของรายได้ =  โอกาสในการอนุมัติน้อย

คำนวณภาระหนี้ต่อเดือน รีไฟแนนซ์รถ รถแลกเงิน

ยกตัวอย่าง คือ รายได้ต่อเดือนปกติอยู่ที่ 50,000 บาท ปรับลดเหลือ 40,000 บาท มีหนี้ที่ต้องจ่ายรายเดือนอยู่ที่ 30,000  เมื่อคำนวณแล้วหนี้มากถึง 75% คุณจะดูเป็นบุคคลที่มีภาระหนี้สูงครับ

ที่เราอิงภาระหนี้ไม่ควรเกิน 70% ของรายได้ทั้งหมด เพราะเงินอีก 30% ของรายได้จะคิดเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน  ทางธนาคารก็จะดูถึงความสามารถในการผ่อนชำระของเรา เพราะหากเกิน 70% นั้นก็ถือว่าสภาพคล่องทางการเงินของเรานั้นน่าจะมีปัญหา และในอนาคตอาจจะส่งผลในการผ่อนชำระค่างวดแก่ธนาคารได้นั้นเองครับ

3. ขอวงเงินสูงมากเกินไป

ปกติแล้วในส่วนของวงเงินจากแต่ละสถาบันการเงินจะให้ได้ไม่เท่ากันครับ ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละที่ บางที่ให้มากถึง 150% ของมูลค่ารถยนต์จากราคาประเมินของธนาคาร แต่หลังจากมีสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 เข้ามา ส่งผลให้เศรษฐกิจเกิดการชะงัก ทำให้ทางสถาบันการเงินมีการปรับลดวงเงินลง จาก 100% - 150% เหลือ 80% - 100% ครับ

นอกจากวงเงินที่ปรับลดลงมาแล้ว ยังมีในส่วนของการประเมินราคาจากทางสถาบันการเงิน ซึ่งจะมีการพิจารณาวงเงินกู้จากปัจจัยหลัก ๆ 2 อย่างครับ คือ

  1. รถ (หลักทรัพย์) อย่าง สภาพ ปี รุ่นและยี่ห้อ ของรถที่เรานำไปเป็นหลักทรัพย์หากเป็นที่นิยมในตลาดและสภาพรถยังดีโอกาสที่จะได้วงเงินสูงก็จะมีเยอะ แต่อย่าลืมนำครับว่าอายุรถส่วนใหญ่ที่นำไปขอสินเชื่อต้องไม่เกิน 15 ปี หรือแล้วแต่เงื่อนไขธนาคารนั้นๆจะกำหนดครับ
  2. ความสามารถในการผ่อนชำระคืนของผู้กู้ ทางธนาคารจะพิจารณาการให้วงเงินกู้ จากความสามารถการผ่อนชำระของเราด้วยครับ ว่าเรามีรายได้และภาระหนี้สินเท่าไร สามารถที่จะผ่อนชำระต่อเดือนเท่าไร 

ซึ่งวงเงินที่ทางธนาคารประเมินให้เรานั้น ถือว่าดีและเหมาะสมที่สุดแล้วครับ เพราะธนาคารจะคำนวณและประเมินแล้วว่า วงเงินกู้ที่เสนอมาให้เรานั้นสอดคล้องกับความสามารถทางการเงินของเรา การที่เรายื่นขอวงเงินที่สูงมากเกินไป ก็ทำให้เราไม่ผ่านการอนุมัติเช่นกันครับ  

ดังนั้น หากเราอยากขอสินเชื่อรถยนต์ เราควรหาข้อมูลไว้ก่อนด้วยตนเองโดยการค้นหาโปรโมชั่นง่าย ๆ ที่ ค้นหาสินเชื่อรถออนไลน์ หากสามารถคำนวณได้ด้วยตนเองก่อนว่ารถเราสามารถขอสินเชื่อได้วงเงินเท่านี้และยื่นกู้ในวงเงินที่คำนวณโอกาสที่เราจะผ่านก็จะมีมากขึ้นครับ หรือจะยื่นกู้ตามที่ทางธนาคารเสนอแนะมาเพื่อให้การอนุมัติผ่านเร็วมากขึ้นก็ได้ครับ

ถ้าอยากรู้ว่าขอสินเชื่อรีไฟแนนซ์รถ และ รถแลกเงินดีที่ไหนดี

ปัจจุบันจะมีตัวช่วยในการเลือกตัดสินใจง่ายขึ้นครับเนื่องจากเราสามารถดูโปรโมชั่น แล้วคุยกับทางสถาบันการเงินสินเชื่อรถเพื่อทราบรายละเอียดต่าง ๆ เบื้องต้นโดยยังไม่ต้องไปที่สาขา ผมแนะคุณสามารถเข้าไปดูรีไฟแนนซ์รถที่ www.refinn.com/รีไฟแนนซ์รถ หรือดูรถแลกเงินได้ที่ www.refinn.com/รถแลกเงิน ว่าธนาคารไหนดอกเบี้ยดีที่สุด และให้วงเงินสูงที่สุดครับ



เผยแพร่เมื่อวันที่ 07 ก.ย. 2564
Refinn Writer
ช่วยเปรียบเทียบโปรโมชั่นที่ประหยัดดอกเบี้ยที่สุด ฟรี ไม่มีค่าบริการเพิ่มเติม