ความต่างระหว่างการ รีไฟแนนซ์บัตรเครดิต กับ การใช้หนี้เดิมต่อไป
สมัครรีไฟแนนซ์บัตร ผ่าน Refinn
สมัครฟรี ไม่มีค่าบริการ ดอกเบี้ยต่ำ อนุมัติง่าย
ปิดหนี้บัตรเครดิต

ความต่างระหว่างการ รีไฟแนนซ์บัตรเครดิต กับ การผ่อนขั้นต่ำบัตรเครดิต

การเป็นหนี้แล้วใช้กันแบบไม่จบไม่สิ้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นกับตนเองอยู่แล้ว ทว่าหลายครั้งเราก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในการมีภาระบางอย่างจนเราจำยอมต้องเป็นหนี้เป็นสินกันต่อไป คราวนี้ปัญหาที่ตามมาก็คือเมื่อถึงวันหนึ่งทีเรารู้สึกว่ามีทางเลือกที่จะเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้กับเราแม้ยังมีหนี้สินอยู่ ในการใช้หนี้อย่างการ รีไฟแนนซ์บัตรเครดิต กับการเลือกใช้หนี้ในวิธีเดิมนั่นคือผ่อนขั้นต่ำ ซึ่งอาจจะโดนดอกเบี้ยแพง ๆ ดอกเบี้ยสูง ๆ หลายคนคงสงสัยว่าแบบไหนมันคุ้มค่ากว่ากัน แล้วแบบไหนที่จะช่วยปิดหนี้ ให้เราเป็นอิสระจากหนี้สิ้นได้บ้าง

วิธีการปิดหนี้บัตรเครดิต

จริง ๆ แล้วการที่เราเป็นหนี้แล้วเราจะหมดหนี้ได้วิธีการก็คือ เราสามารถหาเงินมาปิดหนี้บัตรเครดิตที่มีอยู่ ทั้งเงินต้นที่เรากู้ยืมมา และดอกเบี้ยที่เกิดขึ้น แต่ชีวิตมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นใช่ไหมละครับ

วิธีรวมหนี้

(เช็คโปรโมชั่นรวมหนี้บัตรเครดิตจากธนาคารชั้นนำ : www.refinn.com/refinancecreditcard )

การชำระหนี้ตามระบบบัตรเครดิต

วิธีการนี้ก็ง่ายแสนง่าย ไม่ต้องทำอะไรเลยครับ บัตรเครดิตแจ้งยอดที่เราต้องผ่อนมาเท่าไรเราก็แค่ใช้ตามที่เข้าแจ้งมาเท่านั้นเอง แต่การจ่ายเงินคืนมันจะมี 2 แบบ คือ

1. ชำระเต็มตามยอดที่เกิดขึ้นจริง

วิธีการนี้ก็คือสมมุติเราใช้บัตรเครดิตไป 30,000 บาท สิ้นเดือนมียอดเรียกเก็บเงินมา 30,000 บาท เราก็จ่ายชำระเต็มจำนวนไป โดยปกติแล้วถ้าเป็นการรูดซื้อสินค้า บัตรเครดิตจะมีระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย ประมาณ 30 - 50 วัน ขึ้นอยู่กับบัตรที่เราถือครับ หรือหากเราใช้บัตรเครดิตกดเงินสดออกมา แบบนี้ก็จะมีพวกค่าธรรมเนียมการกด กับดอกเบี้ย ก็ประมาณหนึ่งเลย แต่ว่าถ้าสินเดือนแล้วเราสามารถชำระคืนเต็มได้ ผมก็มองว่าเคสแบบนี้ยังไม่มีปัญหา ถือว่าแลกกับความสะดวกครับ

2. ชำระขั้นต่ำ

ถ้าสังเกตุเวลามีใบแจ้งยอดมาเขาจะระบุว่า ยอดชำระเต็ม กับยอดชำระขั้นต่ำ ซึ่งยอดชำระขั้นต่ำนี้ตามกฏหมายก็ประมาณ 5% ของยอดหนี้คงเหลือครับ ซึ่งวิธีการนี้แหละที่ค่อนข้างหน้ากลัวครับ ถามว่าน่ากลัวอย่างไร ผมยกตัวอย่างให้ดู

สมมุติว่า เราใช้บัตรเครดิตไป 100,000 บาท แล้วสิ้นเดือนเราไม่สามารถชำระคืนได้ทั้งหมดและเลือกที่จะจ่ายเป็นขั้นต่ำ 5% ก็จะเท่ากับ 5,000 บาท นั้นเท่ากับเงินต้นเราจะเหลือ 95,000 บาท ใช่ไหมครับ ถ้าใครคิดแบบนี้คุณกำลังคิดผิดครับ เพราะว่าคุณลืมนำดอกเบี้ยมาคำนวณ



ถ้าดอกเบี้ยที่ 23% จากยอด 100,000 บาท เดือนหนึ่งก็จะประมาณ 1,890 บาท หักจากยอดที่เราจะชำระ 5,000 บาท ก็จะเหลือเงินไปตัดต้นเพียง 3,110 บาท เงินต้นก็จะเหลือ 96,890 บาท

ใครที่ชำระหนี้แบบนี้อยู่และรู้ว่าเรากำลังจะมีเงินใช้คืนภายในเดือน สองเดือน ผมว่าก็ใช้วิธีนี้ต่อไปไม่เสียหายครับ แต่หากใครที่ก็ยังไม่รู้ว่าจะหาเงินมาปิดหนี้ได้เมื่อไรและต้องจ่ายขั้นตำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ก็ไม่รู้ว่าหนี้จะหมดเมื่อไรเลยครับ และเรายังโดนดอกเบี้ยที่สูงด้วย ลักษะแบบนี้อยู่ผมแนะนำให้ลองเปลี่ยนวิธีการชำระหนี้เป็นวิธีการ รีไฟแนนซ์บัตรเครดิต หรือ การขอสินเชื่อรวมหนี้ครับ

การรีไฟแนนซ์บัตรเครดิต

สินเชื่อเพื่อการรวมภาระหนี้ การรีไฟแนนซ์บัตรเครดิต ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการปิดหนี้บัตร แต่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้จักกัน แล้วพอมีคำว่ารีไฟแนนซ์เข้ามาก็มักจะคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่นั้นคือสิ่งที่คุณกำลังเข้าใจผิดครับ

สินชื่อรวมหนี้ และ การรีไฟแนนซ์บัตรเครดิต เป็นการที่เราไปขอสินเชื่อจากธนาคารใหม่ เพื่อมาปิดหรือรวมภาระหนี้บัตรต่าง ๆ ทั้งบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด สินเชื่อส่วนบุคคล รวมได้หมดเลยครับ ซึ่งมันก็จะมีข้อดีอยู่ประมาณ 3 อย่าง

1. ลดยอดผ่อนต่อเดือนลง

จากปกติเราต้องแยกจ่ายขั้นต่ำของแต่ละบัตร สมมุติเรามีบัตร ​​2 ใบ รวมกันได้ 150,000 บาท เลือกจ่ายขั้นต่ำ ร่วมกับกับสินเชื่อส่วนบุคคลอีก 50,000 บาท เราก็อาจจะจ่ายต่อเดือนรวมประมาณ 10,000 บาทต่อเดือน

แต่หากเรารวมหนี้เป็นก้อนเดียว เปลี่ยนจากการจ่ายขั้นต่ำเป็นสินเชื่อแบบมีระยะเวลาที่แน่นอน อาจจะเลือก 36 เดือน ยอดผ่อนก็อาจจะลดลงเหลือประมาณ 6,000 บาท ก็ช่วยทำให้เรามีเงินใช้ต่อเดือนเพิ่มขึ้น ไม่ต้องมานั่งกังวล หาวิธีหมุนเงินตอนสิ้นเดือนครับ

2. เป็นสินเชื่อแบบมีระยะเวลา

อย่างที่บอกไป พอเป็นสินเชื่อแบบมีระยะเวลา มันก็ง่ายต่อการจัดการว่าแต่ละเดือนเราจะแบ่งเงินใช้จ่ายอย่างไรเท่าไรบ้าง หรือเราจะหมดหนี้เมื่อไร เราก็สามารถที่จะรู้ได้อย่างง่าย ๆ เลยครับ

3. ดอกเบี้ยถูกลง

แน่นอนว่าแต่ละธนาคาร หรือสถาบันการเงินต่าง ๆ ก็ต่างพากันออกโปรโมชั่นมาแย่งชิงลูกค้า ถ้าคุณยังมีประวัติทางการเงินที่ดีอยู่ก็จะมีโอกาสที่จะเลือกดูโปรโมชั่นได้เลยครับ จากที่เราต้องเสียดอกเบี้ย 20 กว่าเปอร์เซ็นต่อปี ก็อาจจะลดลงเหลือ 8% - 13% ต่อปีได้เลยครับ ขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นของแต่ละช่วงครับ

นี้ก็เป็นความแตกต่างระหว่างการชำระหนี้บัตรเครดิตแบบปกติ กับการรวมหนี้, รีไฟแนนซ์บัตรเครดิตครับ ซึ่งใครจะเลือกใช้หนี้ก้อนเก่าแบบไหนอันนี้ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของท่าน แต่ถ้าต้องการความคุ้มค่าในการประหยัดเงินกับค่าดอกเบี้ย และเลือกตัดสินใจประหยัดเงินโดยการรีไฟแนนซ์บัตรเครดิต แล้วยังไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี ลองมาพูดคุยกับทางทีมงานของ Refinn ดูได้ครับ

เราเป็นสตาร์ทอัพที่ช่วยคนไทยในการบริหารจัดการหนี้ โดยไม่มีการเก็บค่าใช้จ่ายใด ๆ กับผู้ใช้บริการเลยครับ หรืออาจจะลองเข้าไปดูโปรโมชั่นกันก่อนได้ที่ www.refinn.com/refinancecreditcard ครับ

หากสนใจก็สมัครผ่าน Refinn เลือกธนาคารที่เป็นพันธมิตรกับเราได้เลย ฟรี ไม่มีค่าบริการเช่นกันครับ Refinn จะส่งลูกค้าไปยังธนาคารที่ดีที่สุดให้คุณ แล้วเรายังมีทีมงานค่อยช่วยตาม รวมถึงคุณยังสามารถปรึกษากับทีมงานได้เลยเมื่อมีเจ้าหน้าที่ขอเราติดต่อไปช่วยติดตามงานครับ แค่นี้ความต้องการของคุณก็จะได้รับการตอบสนองอย่างตรงประเด็น ไม่ต้องเสียเวลามองหาธนาคารเองให้ต้องเหนื่อยยุ่งยาก อีกทั้งยังปรึกษาข้อมูลต่าง ๆ ที่สงสัยได้ทุกประเด็นอีกด้วย



เผยแพร่เมื่อวันที่ 01 มิ.ย. 2565
พงศธร ธนบดีภัทร
CEO & Co-Founder ที่ช่วยคนไทยรีไฟแนนซ์ไปแล้วกว่าพันล้านบาท